VPN หรือ Virtual Private Network “เครือข่ายส่วนตัวเสมือน” สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้รับส่งข้อมูลได้ปลอดภัยมากขึ้น ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตัวส่งผ่านข้อมูลก็จริง แต่จะมีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมด ผู้ที่ไม่มีพาสเวิร์ดก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
ประโยชน์ของ VPN ก็คือ ทำให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และปลอดภัยขึ้น รวมถึงทำให้การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบล็อกทำได้ เนื่องจากเป็นการเข้าถึงผ่านตัวกลาง ไม่ใช่เจ้าของแอคเคาท์ตัวจริง นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานได้ด้วย เนื่องจาก IP address ที่ปรากฏในการใช้งาน จะเป็น IP address จากผู้ให้บริการเครือข่าย VPN ไม่ใช่เจ้าของแอคเคาท์
Remote Desktop เป็นโปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ระยะไกล ที่มีมากับระบบปฏิบัติการ Windows ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยความสามารถของโปรแกรมนี้ คือ สามารถล็อกออนเข้าไปควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องเป้าหมายได้ โดยจะสามารถมองเห็นหน้าจอ และควบคุมเครื่องนั้นๆ ได้ เสมือนว่ากำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นอยู่จริงๆ
ความแตกต่างของทั้ง 2 โปรแกรมนี้ก็คือ
1.เรื่องความปลอดภัย VPN จะมีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมด IP address ที่ปรากฏในการใช้งาน จะเป็น IP address จากผู้ให้บริการเครือข่าย VPN ไม่ใช่เจ้าของแอคเคาท์ แต่ Remote Desktop จะใช้การ Log on ด้วย Username และ Password
2.หากใช้ VPN ตัวข้อมูลที่ทำการเปิดใช้จะถูกส่งออกนอกบริษัท แต่ถูกเข้ารหัสทุกครั้งที่ใช้ แต่หากเป็น Remote Desktop จะเป็นการส่งภาพจากเครื่อง Host ไปยังหน้าจอ Device ที่ใช้โดยการเข้ารหัสไฟล์ ข้อมูลไม่ได้ถูกส่งออกมาจริงๆ
3.VPN จะส่งไฟล์ตัวจริงออกนอกบริษัทเมื่อใช้งาน ทำให้ช้าในการเปิดใช้งาน แต่ Remote Desktop จะเป็นการส่งภาพจากเครื่อง Host ไปยังหน้าจอ Device ตัวไฟล์จริงๆไม่ได้ถูกส่งออกมา จะเปิดใช้งาน Save งาน หรือแก้ไขงานใดก็ตาม จะถูกบันทึกไว้ที่คอมพิวเตอร์เครื่อง Host เท่านั้น ไม่มีผลกับความเร็วในการใช้งาน
4.หากบริษัทมี Application ประเภท Client-Server หากเปิดด้วยโปรแกรม VPN จะช้ามาก เพราะเป็นการส่งข้อมูลจริงในการใช้งาน แต่หากใช้โปรแกรม Remote Desktop จะใช้งานได้รวดเร็วปกติเหมือนทำใน PC ของออฟฟิศจริงๆ เพราะเป็นการรีโมตแค่ภาพในเครื่อง Host มาใช้เท่านั้น แต่ข้อมูลไม่ได้ถูกส่งมาจริงๆ